Friday, August 27, 2010

หมาขี้เรื้อน Mangy dog








ลูกชายนักธุรกิจใหญ่มีชื่อเสียงระดับประเทศคน หนึ่ง

เพิ่งสำเร็จการศึกษากลับมาจากเมืองนอก

ยังไม่ทันทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ถูกผู้เป็นแม่ขอร้องให้บวชเรียนเสีย

ก่อน** **

เพื่อเห็นแก่แม่..บัณฑิตใหม่หมาดๆจากเมืองนอกจึงบวชอย่างเสียไม่ ได้** **



เมื่อบวชที่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯแห่งหนึ่งเสร็จแล้ว** **

ผู้เป็นแม่จึงพาไปฝากให้จำพรรษาอยู่กับพระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่ง

ที่วัดป่าแถวภาคอีสาน** **

พระหนุ่มการศึกษาสูงมาจากตระกูลผู้ดีมีแต่ความสุขสบาย** **

เมื่อมาอยู่วัดป่ากว่าจะปรับตัวได้จึงใช้เวลานานเป็นแรมเดือน



แต่ก็นั่นแหละกว่าจะนิ่งก็ทำเอาพระร่วมวัดหลาย

รูปพลอยอิดหนาระอาใจไปตามๆกัน** **

ปัญหาที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอาก็เพราะพระใหม่มี

นิสัยชอบจับผิด* * **

และชอบอวดรู้ยกหู ชูหางตัวเองอยู่เป็นประจำ** **

วันแรกที่มาอยู่วัดป่าก็นึกเหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่าไม่ได้

รับการศึกษาสูงเหมือนอย่างตน

ออกบิณฑบาตได้อาหารท้องถิ่นมาก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลง * *

**



เห็นที่วัดใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดแทนไฟฟ้าก็วิพากษ์วิจารณ์เสีย

เป็นการใหญ่หาว่าล้าสมัย** **

ไม่รู้จักใช้เทคโนโลยี่ ตอนหัวค่ำมีการทำวัตรสวดมนต์เย็นก็บ่นว่า** **



ท่านรองเจ้าอาวาสทำวัตรนานเหลือเกินกว่าจะสิ้นสุดยุติได้ก็นั่ง จนขาเป็นเหน็บชา



ครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้างก็ทำท่าจะล้างอย่างขอไป

ทีล้างไปบ่นไป** **



ประเภทตูจบปริญญาโทมาจากเมืองนอกต้องมาเข้าเวรล้างห้องน้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้**

**

โอ้ชีวิต! ความสำรวยหยิบโหย่งทำให้พระใหม่ไม่พอใจสิ่งนั้นสิ่งนี้ถือดี !** **

ว่าตัวเองมีชาติตระกูลสูง มีการศึกษาสูงกว่าใครในวัดนั้น** **

ผิวพรรณก็ดูสะอาดสะอ้านชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมด** **

มองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้วช่างรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่า ทุกประตู** **

นึกแล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจ

กลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่ก็เอาปากกามาขีดเครื่องหมายกากบาทบนปฏิทิน

นับถอยหลังรอวันสึกด้วยใจจดจ่อ** **



อยู่มาได้พักใหญ่พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็สังเกตเห็นว่าท่านเจ้า

อาวาสวัดป่าแห่งนี้ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา ซ้ำนานๆครั้งจะออกมาให้

โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่ง** **



วันๆไม่เห็นท่านทำอะไรเอาแต่กวาดใบไม้เก็บขยะ** **

ซักผ้าเอง** (**เณรน้อยก็มีไม่รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอน** **

การบริหารวัดก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาสเป็นคน** **

จัดการไปเสียทุกอย่าง เห็นแล้วเลยนึกร้อนวิชา** **

เสนอให้ปรับโน่นลดนี่สารพัดที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่าล้าสมัย** **

รวมทั้งให้เสนอให้วัดใช้ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วยอีกข้อหนึ่ง

เพราะตนเห็นว่ายุคสมัยก้าวไกลมามากแล้ว

ไม่ควรจะทำตนเป็นคนหลังเขาให้คนอื่นเขาดูถูก** **




อีกหนึ่งในข้อวิจารณ์จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้นพระใหม่เสนอ ให้** **

หลวงพ่อเจ้าอาวาสมีปฏิสัมพันธ์กับพระลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้**

! **สอนให้มากขึ้นเทศน์ให้มากขึ้น**

และแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงานอย่างการซักจีวรเอง

เป็นต้นด้วยตนเอง* * **

ควรจะกระจายอำนาจมอบ งานให้คนอื่นทำดีกว่า



เย็นวันนั้นเป็นวันพระสิบห้าค่ำ** **

หลวงพ่อเจ้าอาวาสมานั่งทำวัตรที่โบสถ์ธรรมชาติกลางลานทรายด้วย** **

ท่านไม่ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่มาอ่านให้พระหนุ่ม สามเณรน้อย** **

ทั้งหลายฟังแต่ท่านไม่บอกว่าพระรูปไหนเป็นคนเขียน** **

อ่านจบแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตาพลางหยิบไมโครโฟนขึ้นมา** **

แล้วชี้ให้ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่ง** **

ที่นอนอยู่ใต้ม้าหินอ่อนตัวหนึ่ง จากใต้ต้นอโศกที่อยู่ใกล้ๆ **

เธอ ทั้งหลายเห็นหมาขี้เรือนตัวนั้นหรือไม่

เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันเป็นขี้เรื้อน* * **

คันไป ทั้งตัว ฉันเห็นมันวิ่งวุ่นไปมาทั้งวัน** **

เดี๋ยว ก็วิ่งไปนอนตรงนั้นเดี๋ยวก็ย้ายมานอนตรงนี้** **

อยู่ ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นานเพราะมันคัน แต่พวกเธอรู้ไหม** **

เจ้า หมาตัวนั้นน่ะมันไปนอนที่ไหนมันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจ** **

หาว่า แต่ละที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเองสักอย่าง นอนที่ไหนก็ไม่หายคัน** **


สถานที่เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้นดี **



คิด อย่างนี้แล้วมันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คัน** **

แต่ หาเท่าไหร่มันก็หาไม่พบสักที** **

เลย ต้องวิ่ งไปทางนี้ทางโน้นอยู่ทั้งวัน

เจ้าหมาโง่ตัวนั้นมันหารู้สักนิดไม่ว่า** **

เจ้า สาเหตุแห่งอาการคันนั้นหาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่อย่างใดไม่** **

แต่ สาเหตุแห่งอาการคันอยู่ที่โรคของตัวมันเองนั่นต่างหาก** **

พูดจบแล้วหลวงพ่อก็วางไมโครโฟนลงเป็นสัญญาณให้รู้ว่า** **

ได้เวลาภาวนาหลังการทำวัตรสวดมนต์เย็นแล้ว



ขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบนั้น** **

ในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกติ นอกสงบ แต่ในวุ่นวาย** **

นึกอย่างไร** **ก็ มองเห็นตัวเองไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อน**

**ที่หลวงพ่อชี้ให้ดู **

ยิ่ง นั่งสมาธินานๆ ยิ่งคันคะ เยอในหัวใจ ทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง**



นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาพระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็เปลี่ยนไปเป็นคน ละคน** **

จากคนพูดมากกลายเป็นคนพูดน้อย จากคนที่หยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน** **

จากคนที่ชอบจับผิดคนอื่นกลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเอง

เมื่อออกพรรษาแล้วโยมแม่มาขอให้ลาสิกขาเพื่อกลับไปสืบต่อธุรกิจ

จากครอบครัวท่านก็ยังไม่ยอมสึก **



" **อาตมา เป็นหมาขี้เรื้อน** **

ขออยู่รักษาโรคจนกว่าจะหายคันกับครูบาอาจารย์ที่นี่อีกสักหนึ่ง พรรษา"** **

โยมแม่ได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยกมืออนุโมทนาสาธุการกราบลาพระลูกชาย** **

แล้วก็เดินออกจากวัดไปขึ้นรถพลางนึกถามตัวเองอยู่ในใจว่าคำว่า** **

หมาขี้เรื้อน ของพระลูกชายหมายความว่าอย่างไรกันแน่หนอ **



ถ้า เรายังเป็นโรคอยู่ในใจ ไม่พอใจอะไรซักอย่าง เงินเดือนน้อย

หน้าที่การงานไม่พัฒนา ตำแหน่งไม่ไปไหน** **

ไม่ ว่าเราย้ายงานไปที่ไหน เราก็ไม่พอใจ สถานที่เหล่านั้นไม่ดี

คนไม่ได้เรื่อง ทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยได้ดูตัวเองเลยว่า** **

เรา พัฒนาการทำงานของเรามั้ย ขวนขวายหาความรู้หรือเปล่า

ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับหมาขี้เรื้อนตัวนั้นเลย **

! ** **


บทความจาก FW mail

1 comment:

  1. รึว่าเราจะเป็นหมาขี้เรื้อน

    ReplyDelete

แวะเข้ามา ทักทายกันบ้างก็ได้ค่ะ