หน้าเว็บ

Wednesday, April 29, 2009

วัดนรก วัดสวนแก้ว จ.ปราจีนบุรี มูลนิธิร่มโพธิ์แก้ว 2 ฆ่าหมูในวัด

พอดีได้ fw mail มา เป็นอีเมลล์ที่เล่าว่าวัดแห่งหนึ่ง ฆ่าหมูที่ถูกไถ่ชีวิต ลองอ่านกันดูนะคะ

> > วัดนรก
> > ช่วยอ่านแล้วส่งต่อประจานมันด้วยนะ
> >
> > ในฐานะนิสิตสัตวแพทย์ขอประนามในวันพฤหัสที่
> > 19 ม. ค. ที่ผ่านมา
> > แฟนของผม
> > ยืนรอรถเมล์อยู่บริเวณสำโรงเวลาประมาณบ่าย
> > 5 โมงเย็นมีรถบรรทุกหมูที่จะไปส่งโรงฆ่าสัตว์แล่นผ่านมาได้มีหมูตัวหนึ่ง
> > ดิ้นรนหลุดออกจากกรง
> > ตกลงมาจากรถกระบะลงมาอยู่ที่ริมฟุตบาท
> > ตรงหน้าแฟนผมเกิดความสงสารสัตว์ที่จะถูกนำไปโรงฆ่าเธอโทรศัพท์หาผม
> > เราตกลงกันว่าจะติดต่อขอซื้อหมูตัวนั้น
> > ในราคา
> > 6000บาทแล้วให้นำไปส่งที่บ้าน
> > ใน จ . สมุทรปราการ
> > ที่อยู่ห่างไปประมาณ 10 กม. มาวันแรกเค้ายังเดินไม่ได้
> > เนื่องจากเจ็บที่ขาหลังด้านขวาอีกทั้งน้ำหนักมากถึง
> > 107 กิโล ร่วมกับเพลียจากการเดินทางวันแรกจึงให้น้ำให้อาหาร
> > แล้วมันก็นอนพัก
> > เราก็เป็นห่วง
> > กลัวมันจะไม่สบายเราได้ตั้งชื่อมันว่า
> > เจ้าสำโรง
> > ตามสถานที่ที่พบมันเช้าวันต่อมา
> > อาการมันดีขึ้นสดใสขึ้น
> > กินน้ำได้มากเราได้ไปพาสัตวแพทย์ที่หน้าซอยบ้านมาตรวจ 2 ครั้งแพทย์บอกว่าเจ้าสำโรงอ่อนเพลีย
> > และเจ็บที่ขา
> > ตรวจแล้วกระดูกไม่หักแต่กล้ามเนื้ออักเสบ
> > ให้นอนพักผ่อนเนื่องจากเกรงใจเพื่อนบ้านที่ติดกันเนื่องจากหมูร้องเสียงดังจึงได้โทรศัพท์ติดต่อไปที่
> > วัดสวนแก้ว จ.นนทบุรีเนื่องจากเคยได้ยินว่ามีรับสัตว์ที่ไถ่ชีวิตทางวัดบอกว่ามีการรับ เลี้ยงสัตว์ที่ไถ่ชิวิตจริงๆแต่ที่นนทบุรีเต็มแล้วทางวัดมีสาขาที่อ . กบิณทร์บุรี จ.ปราจีนบุรีชื่อมูลนิธิร่มโพธิ์แก้ว 2( วัดนรก)
> > รับเลี้ยงสัตว์ที่ถูกไถ่ชีวิตทางวัดที่นนทบุรี
> > ส่งวัว
> > ควายไปไว้ที่นั่นแล้วสิบกว่าตัว
> > รับเลี้ยงได้
> > จึงติดต่อให้ทางวัดนำรถมารับโดยจ่ายค่าขนส่ง
> > 1000 บาท
> > ตกลงให้มารับในวันเสาร์ในวันเสาร์
> > วันนี้เป็นวันที่รถของทางวัดจะมารับเจ้าสำโรงวันนี้มันดีขึ้นมากพยายามลุกเดิน
> > 3 ขา แต่ยังไม่ค่อยไหว
> > กินอาหารได้ดีขึ้นมากเราเลี้ยงเจ้าสำโรงด้วยข้าว
> > กล้วย ผักกาด
> > ผักบุ้งวันนี้เราเลยได้รู้ว่าเจ้าสำโรงชอบกินผักบุ้งมากนึกแล้วก็ใจหาย เหมือนกันเพราะวันนี้รถจะมารับมันไปแล้ววันนี้เจ้าของเขียงหมูที่เราซื้อ เจ้าสำโรงมาแวะมาเยี่ยมที่บ้านด้วย
> > แล้วก็ให้คำแนะนำในการเลี้ยงรวมทั้งถามอาการ
> > เจ็บขาของมัน(เราเองก็คาดไม่ถึงว่าเจ้าของเขียงหมูจะเป็นห่วงตามมาเยี่ยมถึงบ้านด้วย
> > เค้าบอกว่าพรุ่งนี้จะมาเยี่ยมอีกเราบอกเค้าว่าวันนี้ทางวัดจะมารับมันไปเลี้ยงแล้วไม่ต้องมาแล้วก็ได้ครับ
> > ขอบคุณมากๆ )ประมาณ
> > บ่าย 3 โมง
> > รถของทางวัดก็มารับเราช่วยกันอุ้มเจ้าสำโรงขึ้นรถอย่างทุลักทุเลวันนี้เจ้าสำโรงร้องดังมากๆเหมือนมันไม่อยากไป
> > เราเองก็คิดถึงมัน
> > เลยขอแผนที่ทางวัดไว้เผื่อวันหลังจะตามไปเยี่ยม
> > ตกเย็น
> > ไปงานรับปริญญาน้องชายแฟนกลับมานอนที่บ้านนอนไม่ค่อยหลับ
> > เพราะคิดถึงเจ้าสำโรง
> > มันรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูกน่าแปลกที่แฟนก็คิดเหมือนกันวันรุ่งขึ้นจึง ตัดสินใจไปเยี่ยมมันที่โน่นเลยเผื่อขาดเหลือค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงจะได้ช่วย กันไปถึงวัดตอนบ่ายๆ
> > บริเวณมูลนิธิร่มโพธิ์แก้วจะมีลักษณะเป็นโรงจำหน่ายของที่รับบริจาคมา
> > ละมีการทำสวนพืชไร่หลายชนิดจึงไปติดต่อกับพระที่ดูแลที่นี่บอกท่านว่ามาเยี่ยมเจ้าสำโรงที่รถนำมาส่งเมื่อวาน
> > ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่วัดและพระรูปอื่น
> > ทำหน้าแปลกๆ
> > และซุบซิบกันไปมาและได้เรียกพระท่านนี้เข้าห้องไปคุย
> > ปิดประตูอยู่พักหนึ่ง
> > ท่านก็ออกมาผมเลยบอกว่ารบกวนท่านบอกทางไปที่เลี้ยงสัตว์เพราะว่าวันนี้ไปแวะ ซื้อผักบุ้งจากห้างมาหอบใหญ่เพราะรู้ว่าเจ้าสำโรงชอบพระท่านบอกว่าเดี๋ยวพา ไปเอง
> > ท่านพาเดินดูที่นั่น
> > ที่นี่
> > พาไปดูสวนผมก็บอกท่านว่าขอไปดูหมู
> > ท่านก็บอกว่าทางนี้
> > พอไปถึงก็ไม่มีท่านก็บอกว่าอยู่อีกที่หนึ่ง
> > วนไป วนมานานถึง 2
> > ชั่วโมง
> > ก็ยังไม่พบระหว่างนั้นพระท่านนี้ก็เล่าว่า
> > วัวที่นี่ไม่มีแล้วเนื่องจากนำไปจ่ายเป็นค่าตอบแทนชาวบ้านที่มาช่วยงานแทน เงินเดือน(แล้วถ้าหากชาวบ้านที่ได้นำไปขายหรือฆ่าล่ะ)ระหว่างเดินอยู่
> > พบคอกเลี้ยงลูกหมูป่าคอกเล็ก ๆ ประมาณ 10 ตัวไม่พบวัวซักตัวหลังจากเดินมานานก็ยังไม่พบ
> > จึงถามพระ
> > ท่านก็บอกว่าหมูเมื่อวานป่วยนำไปส่งที่ปศุสัตว์แล้ว
> > ผมเลยถามท่านว่าปศุสัตว์ไปทางไหนจะตามไปเยี่ยมท่านก็บอกว่าวันหยุดราชการไม่ เปิดผมก็ถามท่านว่าแล้วเมื่อวานวันหยุดราชการปศุสัตว์มาตรวจได้ยังไงท่านก็ เงียบไปบ่ายเบี่ยงต่างๆแล้วบอกผมว่าเดี๋ยวต้องถามคนดูแลสัตว์อีกทีผมก็ บอกว่างั้นขอพบ
> > พระบอกว่าคนนี้ไม่อยู่
> > กลับกรุงเทพผมบอกว่างั้นจะรอพบสุดท้ายคนๆนี้ก็มา
> > หลังจากรออยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงมันบอกผมว่าหมูเมื่อวานป่วย
> > เลยให้สัตวแพทย์มาดูและนำไปส่งที่ปศุสัตว์แล้วผมบอกจะตามไปดู
> > ก็บอก ว่าปิดราชการ
> > ไปไม่ได้ผมถามว่าวั้นสัตวแพทย์มาได้ยังไงมันตอบว่าสัตวแพทย์มาดูแล้ว
> > บอกว่าอาการมันหนัก
> > เลยจัดการไปแล้ว !!!ผมตกใจมากถามว่าสัตวแพทย์ที่มาดูชื่ออะไร
> > จะตามไปถาม
> > ถามไปถามมาสุดท้ายมันบอกผมว่ามันตัดสินใจฆ่าเอง
> > โดยเชือดแบ่งเนื้อแจกจ่ายไปแล้วและมันบอกว่าขอรับผิดเอง
> > มันอ้างว่าคาดไม่ถึงว่าผมจะตามไปดูมันบอกว่าที่ผ่านมาไม่เคยมีคนที่ไถ่
ชิวิตสัตว์ตามไปดู มีผมเป็นคนแรก ถ้ามันรู้ว่าผมมามันคงไม่ฆ่าหรอก
> > ทั้งผมและแฟนผมเสียใจมากนึกไม ่ถึงว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นได้
> > ในวัดกับสัตว์ที่ไถ่ชีวิตมาจากโรงฆ่า
> > คิดไม่ถึงว่ามาถึงที่นี่มันไม่ให้เค้ากินน้ำกินอาหารด้วยซ้ำ
> > กลับฆ่ามันเหมือนถูกส่งโรงฆ่าสัตว์ผมและแฟนผมเสียใจมาก
> > เธอร้องไห้ตลอดเกือบทั้งวันหลังจากนนั้นผมจึงคิดว่าอย่างน้อยต้องประกาศให้ สังคมรับรู้ถึงความโหดร้ายที่เกิดขึ้นและคงต้องพยายามไม่ให้เกิดเหตุการณ์ แบบนี้ขึ้นอีกขอความเห็นใจจากสังคมด้วยครับจากคุณ : นพ .

...อันที่จริง เมลล์นี้เคยได้รับนานแล้ว อ่านอีกทีก็ยังสงสารหมูตัวนั้น และเกลียดวัดนี้ได้ทุกครั้งไป

แต่วันนี้พอมีสติ เลยนึกว่ามันเป็น fw mail ที่อาจจะเป็นจริง หรือไม่มีความจริงเลยก็ได้

และแล้วก็ต้อง search หาใน google ก็ไปเจอคำบอกเล่าที่ว่า ..ลองอ่านกันดู

" จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
ปีที่ 9 ฉบับที่ 2344 ประจำวัน จันทร์ ที่ 4 สิงหาคม 2008
โดย พระพยอม กัลยาโณ

เรื่องนี้ต้องชี้แจงโทษวัดฆ่าหมูบริจาค
สิ่งเลวร้ายที่สุดตั้งแต่ตั้งวัดสวนแก้วขึ้นมาคือ การกล่าวหาว่าวัดนำหมูบริจาคไปฆ่ากิน วันนี้ผ่านมา 2 ปีกว่าแล้ว ข้อกล่าวหาก็ยังอยู่ ทั้งๆที่วัดเคยชี้แจงผ่านสื่อและมีการพิสูจน์ความจริงไปแล้ว แต่เรื่องดังกล่าวก็ดูว่ายังไม่จบ

เรื่องที่อาตมาจะกล่าวนี้ได้ผ่านไปนานแล้วกว่า 2 ปี และอาตมาเองก็เคยชี้แจงต่อสาธารชนผ่านสื่อมวลชนไปแล้วหลายครั้ง แต่ดูเหมือนว่ายังไม่จบ เพราะยังมีคนเข้าใจผิดอยู่ เพราะเรื่องราวที่ทำให้เข้าใจผิดนั้นยังมีวนเวียนอยู่ในเว็บไซต์ ใน E-mail ซึ่งได้ส่งต่อกันไปเป็นทอดๆ จึงทำให้เรื่องนี้ไม่จบสักที มันเหมือนเป็นการหยิบเอาเรื่องนี้มาดิสเครดิตกัน

เรื่องที่ว่าก็คือ กล่าวหาว่าวัดสวนแก้วเชือดหมูที่ชาวบ้านไถ่ชีวิตมาจากโรงฆ่านำไปเชือดกิน เรื่องนี้เป็นเรื่องหนังไม่ได้รองนั่ง เนื้อก็ไม่ได้กิน แถมยังเอากระดูกมาแขวนคอ ถ้าใครได้อ่านในเว็บไซต์แล้วเชื่อตามนั้นก็คงบอกได้ว่า “หูเบา” เชื่อง่ายไปหน่อย เพราะมันส่อว่าเป็นความเสียหายต่อสังคมอย่างหนึ่งคือ ไม่สืบหาข้อมูลว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร

ถ้ายังไม่ทราบอาตมาจะบอกให้ เรื่องจริงเป็นอย่างนี้ เมื่อ 2 ปีกว่ามีคนใจบุญพบกับเหตุการณ์รถขนหมูเข้าโรงฆ่าสัตว์ทำหมูตัวหนึ่งตกจากรถ และยังไม่ตาย ด้วยความสงสารคนใจบุญคนนั้นจึงขอไถ่ชีวิตหมู่ตัวนั้นมาในราคา 6,000 บาท แล้วนำมาเลี้ยงไว้ที่บ้าน ปรากฏว่าหมูได้รับบาดเจ็บ ซี่โครงหักเข้าไปทิ่มปอด (รู้ทีหลังจากปากคำของสัตวแพทย์) ด้วยความเจ็บปวดหมูก็ร้องทั้งคืนจนชาวบ้านไม่พอใจ คนใจบุญจึงนำมาถวายให้วัดสวนแก้วซึ่งมีหมูอยู่แล้วหลายตัว จึงได้ส่งมอบไปให้โครงการร่มโพธิ์แก้วที่อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี เพราะที่นั่นยังรองรับได้และมีคนดูแลเยอะ

หลังจากหมูไปอยู่ที่โครงการร่มโพธิ์แก้ว สาขากบินทร์บุรีแล้ว เวลาผ่านไป 1 อาทิตย์ คนใจบุญผู้นี้ได้เดินทางไปเยี่ยมหมูอีกครั้งที่กบินทร์บุรี แต่ไม่พบหมูของตนจึงได้ถามเจ้าหน้าที่คนหนึ่งซึ่งไม่ใช่ผู้รับผิดชอบโครงการ และไม่รู้สาเหตุการตายของหมู รู้แค่หมูตายและมีการชำแหละแบ่งเนื้อกัน จึงตอบไปตามภาษาชาวบ้านที่ไม่รู้และไม่ได้ระวังคำพูดว่า “เชือดแล้ว” ทำให้เจ้าของหมูคิดว่าเจ้าหน้าที่โครงการฆ่าหมูกินแล้ว จึงโกรธใหญ่ทั้งที่ยังไม่รู้ความจริง กลับมาเขียนข้อความหาว่าวัดสวนแก้วฆ่าหมูบริจาค ส่งเผยแพร่ทั้งทางเว็บไซต์และสื่อมวลชนจนเป็นข่าวครึกโครม จนมีคนด่าทั้งอาตมาทั้งวัดว่าทำอย่างนี้ได้อย่างไร ทำไมถึงเป็นวัดที่เลวทรามโหดร้าย ใจดำอำมหิต แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าคนใจบุญได้หรือไม่ ด่ากระทั่งวัดกระทั่งพระ บอกกับคนอื่นว่าตัวเองเป็นคนใจบุญ แต่เพราะหมูร้องด้วยความเจ็บปวดจนชาวบ้านรำคาญก็โยนภาระมาให้วัดกับพระ แล้วยังตามมาราวีให้ร้ายป้ายสีกับวัดอีก

ความจริงที่พิสูจน์ได้ก็คือ หมูตายตั้งแต่ 2 วันแรกที่ไปอยู่ที่นั่นแล้ว ตายด้วยอาการบาดเจ็บของมันเอง คนงานของโครงการร่มโพธิ์แก้วซึ่งเป็นชาวบ้านย่านนั้นพอพบว่าหมูที่บริจาคมา ตายจึงแจ้งต่อปศุสัตว์อำเภอ ซึ่งเป็นระเบียบของโครงการว่าถ้าสัตว์ในโครงการตายต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ ปศุสัตว์ทราบเพื่อหาสาเหตุการตาย (เกรงว่าจะเป็นโรคติดต่อ) ผลการตรวจของปศุสัตว์คือ หมูตัวนี้ช้ำใน ประกอบกับกระดูกที่หักแทงเข้าที่ปอด เมื่อหมูตายและปศุสัตว์ยืนยันว่าไม่ได้เป็นโรคตาย เจ้าหน้าที่โครงการและชาวบ้านจึงชำแหละแบ่งเนื้อไปทำกิน ส่วนที่เหลือนำไปฝังเพราะกินไม่หมด

เรื่องที่เกิดจึงเป็นเพราะคนใจบุญนั้นไม่ได้ฟังหรือไม่พยายามเข้าใจ คิดแต่ว่าวัดเชือดหมูตัวเองไปกิน ที่วัดสวนแก้วไม่ว่าจะเป็นวัวก็ดี แพะก็ดี หมาก็ดี เลี้ยงไว้ตั้ง 700-800 ตัว ถามว่าถ้าโหดอย่างนั้นวัดจะเลี้ยงพวกนี้ไว้เป็นภาระทำไม อยู่แบบสบายๆไม่ต้องรับสัตว์พวกนี้มาเลี้ยงจะไม่ดีกว่าหรือ ตั้งแต่อาตมาตั้งวัดสวนแก้วขึ้นมายังไม่เคยมีใครมาใส่ร้ายให้เสียหายต่อชื่อ เสียงได้เท่ากับเหตุการณ์ครั้งนี้เลย

อาตมาจึงอยากฝากไปยังเว็บไซต์ต่างๆว่า อยากให้ช่วยกันหยิบข้อความตรงนี้ลงไป เพื่อช่วยทำให้ข้อเท็จจริงกระจ่าง จะได้เกิดความเป็นธรรมกับวัดสวนแก้วบ้าง คำพูดที่เขาบอกว่าไม่ศรัทธาวัดนี้แล้วก็ไม่เป็นไร แต่เชื่อว่ายังมีคนเข้าใจวัดสวนแก้วอยู่ แต่ขออย่าพยายามดึงคนอื่นให้มาเข้าใจผิดๆแบบที่คุณเข้าใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควรเป็นอย่างยิ่ง

อาตมาจึงขอชี้แจงความเป็นจริงให้ทราบอย่างที่ได้กล่าวมา หากใครมีข้อสงสัยหรืออยากรู้ว่าหมูตัวนี้ตายอย่างไรให้เช็กไปได้ที่ปศุสัตว์ อำเภอกบินทร์บุรี จะได้รู้ความจริง และไม่ต้องฟังความข้างเดียว น้ำหนักหูจะได้ไม่เอียงให้เสียศูนย์
เจริญพร
http://www.dailyworldtoday.com/columblank.php?colum_id=11043 "


เสียดายลิงค์เข้าไม่ได้แล้ว อ่านแล้วถึงได้อารมณ์สงบลงไปบ้าง

ลองนึกถึงฝ่ายของวัด ก็อาจจะเป็นความจำเป็นบางอย่างที่ต้องทำแบบนั้น

ส่วนนิสิตแพทย์และแฟนผู้ใจบุญคนนั้นก็คงเสียใจ และสงสารหมูตัวนั้นมาก

เพราะได้ชื่อว่าได้เป็นผู้ให้ชีวิตสัตว์ เมื่อรู้ว่าหมูถูกฆ่า ก็คงโกรธ

จนลืมไปว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นมันส่งผลกระทบต่อวัด สถานที่ของพระพุทธศาสนา

ทำให้คนจำนวนมากที่รับเมลล์เสื่อมศรัทธาในตัวพระสงฆ์ และศาสนา .. ถ้าวัดไม่ได้ตั้งใจฆ่าหมูนะคะ

..แต่ถ้า วัดตั้งใจฆ่าหมู ตามที่ fw mail บอก เราก็คงต้องทำใจ อย่าไปแช่งพระ แช่งวัดเลยค่ะ

คิดซะว่า การกระทำใดๆ ย่อมมีผลกระทบ สะท้อน

ทำไม่ดี ก็ได้รับผลไม่ดี เป็นการตอบแทน

อย่า FW ต่อไปอีกเลย

... คิดให้ดีก่อนที่จะ Forword email ...


ข้อความสีน้ำเงิน เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวค่ะ แล้วแต่ใครจะคิดแบบใหน



บทความนี้ย้ายมาจากบล็อก fayjaa.wordpress.com

เขียนเมื่อ 22 สิงหาคม 2551

ย้ายมาเมื่อ 29 เมษายน 2552

3 comments:

  1. โครงการที่ นี่ พวกเจ้าหน้าที่ ตัดเอาของบริจาคที่มีคนมาบริจาค เอาไปขายต่อ ไม่ได้เอาเข้าวัด ใครคิดจะบริจาคคิดให้ดีก่อนนะ
    วัว ควาย ก็ เอาไปเลี้ยงกันเอง ที่พระพยอมบอกมีมากมาย มีจริง ไม่ถึง 10 ตัว และ ไม่ได้มีสัตว์ หลากหลาย อย่างที่อ้างหรอก วัว ควาย อยู่ตามบ้านเจ้าหน้าที่โครงการ เลี้ยงบ้าง ตายบ้าง ได้กันฟรีๆ หมู นะ ไม่มีหรอก
    บ้านที่เอาของบริจาคไปลง มีคนชื่อ เดือนงาม เป็นคนรับลงของ อยู่ที่ หมู่ 10 ลาดตะเคียน ไม่ไกลจากโครงการ และ อีกที่ อยู่ที่ บ้านหญิงสูงอายุ ชื่อ ขันทอง แม่ของ เดือนงาม อยู่ที่ หมู่ 8 ระเบาะไผ่ ศรีมหาโพธิ
    ชาวบ้านรู้กันทั้งนั้น

    ReplyDelete
  2. ของก็แพง ทั้งที่ได้มาฟรีๆ มีแต่พวกพม่าเป็นโขยง มาเฟียเพียบ ชาวบ้านแถวนั้นรู้ดี พระพยอมท่านก้ดี ไม่ว่าท่านหรอก แต่มาเฟียแต่ละแก๊งในวัดท่านจัดการไม่ได้หรอก ของได้บริจาคมาฟรีๆ แต่เวลาขายอ้างราคาว่าถูกกว่าห้างอีก อยากให้ผู้กล้าลองไปเจาะลึกดู แล้วนำมาตีแผ่ให้รู้กันบ้าง

    ReplyDelete
  3. เอาไปก็ไม่ได้ซ่อม เทมากองขาย น้ำท่วมเขาบริจาคของกิรมาให้ ยังมีหน้าไปขายให้คนงาน ไหนว่าดูแลคนแก่ เอคนแก่ไปนั่งทุบปุ๋ย ที่ทำมาจากขี้(คน) นึกภาพดู

    ReplyDelete

แวะเข้ามา ทักทายกันบ้างก็ได้ค่ะ